การดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย

0 Comments

มะเร็งเป็นโรคร้ายที่คร่าชีวิตหลายๆคนโดยที่ไม่รู้ตัว เพราะมะเร็งมีหลายชนิด ทั้งที่เกิดจากปัจจัยภายนอกหรือมะเร็งที่เกิดจากการสืบทอดตามกรรมพันธุ์ มะเร็งแทบทุกชนิดจะไม่แสดงอาการในระยะแรก เป็นเหตุให้กว่าจะตรวจพบก็อาจสายเกินที่จะรักษาให้หายขาดได้ มะเร็งระยะสุดท้ายเองก็มักจะไม่ค่อยมีวิธีเยียวยา ทำได้เพียงประคับประคองอาการให้ทรงตัวและคอยดูแลผู้ป่วยให้มีสภาพจิตใจที่แข็งแรงเพื่ออยู่ไปนานๆเพียงเท่านั้น การดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งในระยะสุดท้ายโดยส่วนมากมักจะต้องใช้วิธี palliative care หรือการดูแลแบบประคับประคอง คือต้องดูแลสภาพร่างกาย สภาพจิตใจ และความเป็นอยู่ของผู้ป่วย โดยวิธีการดูแลแบบ palliative care นี้ไม่ใช่เพียงการดูแลผู้ป่วยเพียงอย่างเดียว แต่ถือเป็นการดูแลครอบครัวของผู้ป่วยด้วย เพราะโดยปกตินั้นเมื่อมีคนป่วยหนักอยู่ภายในครอบครัว คนในครอบครัวมักจะมีความกังวลหรือความรู้สึกไม่สบายใจตามไปด้วย การดูแลแบบประคับประคองจึงเป็นการดูแลผู้ป่วยและครอบครัวไปพร้อมกัน ผู้ป่วยมะเร็งในระยะสุดท้ายมักจะมีอาการจิตตกหรือกังวลง่าย สภาพจิตใจอาจไม่มั่นคงและรู้สึกท้อแท้ ดังนั้นครอบครัวจึงจำเป็นต้องคอยให้กำลังใจและหมั่นพูดคุยหรือทำกิจกรรมที่ผู้ป่วยสามารถร่วมทำได้ เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าตนยังมีคนคอยอยู่ข้างๆและยังเป็นที่ต้องการ ผู้ป่วยจะได้มีกำลังใจในการใช้ชีวิต ซึ่งการดูแลในรูปแบบ palliative care สามารถปรึกษาหรือขอคำแนะนำจากแพทย์ที่เป็นคนดูแลผู้ป่วยได้ ถึงแม้จะทำตามได้ไม่ทั้งหมดแต่ก็สามารถหาคนดูแลตามวิธีนี้ได้จากสถานบำบัดหรือศูนย์ดูแลผู้สูงอายุที่ใช้ทีมแพทย์และพยาบาลชำนาญการในการดูแล และเพราะการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายค่อนข้างยุ่งยาก ดังนั้นการใช้บริการดูแลจากศูนย์ดูแลผู้สูงอายุก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะสถานที่เหล่านั้นมักจะมีการจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับผู้ป่วย รวมถึงเรื่องอาหาร และการติดตามและจดบันทึกอาการเพื่อรายงานต่อครอบครัวให้ทราบ ทีมที่ดูแลก็มักมีความรู้ความชำนาญที่จำเป็นอย่างครบถ้วน ความพร้อมในการดูแลผู้ป่วยจึงมีมากกว่า แต่ครอบครัวก็ต้องขยันไปเยี่ยมเยียนและคอยพูดคุยกับผู้ป่วยด้วยเช่นกัน มะเร็งระยะสุดท้ายอาจไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ครอบครัวก็สามารถดูและและประคองอาการของผู้ป่วยเพื่อให้มีชีวิตอยู่กับครอบครัวที่ตนรักไปได้นานมากขึ้นเช่นกัน ถือเป็นการแสดงความรักความผูกพันและแสดงความเอาใจใส่ต่อผู้ป่วยว่าผู้ป่วยมีความสำคัญ เพราะสิ่งที่จะช่วยเยียวยาจิตใจและเป็นกำลังใจในการใช้ชีวิตต่อไปย่อมต้องมีแรงกระตุ้นอย่างคนในครอบครัวรวมอยู่ด้วย การดูแลแบบ palliative care จึงเหมาะสำหรับการดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายเป็นอย่างมาก

ประกันรถบิ๊กไบค์ เลือกอย่างไรให้ลงตัว

0 Comments

รถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์คือรถมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่ โดยที่รถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์นั้นมีหลากหลายรูปแบบเช่น Naked bike ที่โดดเด่นด้วยรูปแบบเปลือยเครื่อง ช่วยในเรื่องของความคล่องตัวในสภาพการจราจรที่หนาแน่นและช่วยระบายความร้อนในสภาพอากาศที่อุณหภูมิสูงเช่นนี้ Sport bike ที่นิยมใช้แข่งขันมอเตอร์ไซค์ทางเรียบ โดดเด่นในเรื่องของการทรงตัวและการควบคุม Touring bike ที่เหมาะสำหรับการออกทริปท่องเที่ยวระยะไกลด้วยการออกแบบที่เหมาะกับสภาพถนนขรุขระและขับเป็นระยะเวลานานได้ หรือ Chpper bike ที่มักเป็นที่จดจำจากขนาดรถที่ใหญ่และเสียงคล้ายเฮลิคอปเตอร์อันเป็นเอกลักษณ์   นอกจากประเภทที่กล่าวมาก็อาจจะมีรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์อีกหลากหลายรูปแบบที่มีเพื่อตอบสนองความต้องการของนักบิดที่มีความชอบแตกต่างกันไป ซึ่งนอกจากความพิถีพิถันของการเลือกรถมอเตอร์ไซค์แล้ว การดูแลรถคันโปรดก็ย่อมต้องพิถีพิถันด้วยเช่นกัน ในบทความนี้จึงจะมาแนะนำการเลือกประกันรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ให้แก่นักบิด  การเลือกประกันรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์นั้น การตอบคำถามดังต่อไปนี้อาจช่วยให้คุณเลือกประกันรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ได้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น  ข้อที่หนึ่ง คุณเป็นนักบิดมือใหม่ใช่หรือไม่ หากว่าเป็นนักบิดมือใหม่ ประกันภัยมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ที่เหมาะกับคุณคือการประกันภัยชั้น 1 เพราะครอบคลุมมากที่สุดทั้งในกรณีอุบัติเหตุหรือไม่มีคู่กรณี  ข้อที่สอง ความถี่ในการใช้รถ หากคุณเป็นนักบิดที่ไม่ได้เลือกหยิบเอาเจ้าบิ๊กไบค์มาใช้บ่อยนัก แนะนำว่าให้ใช้ประกันรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ชั้น 2 เพราะมีความเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุน้อย แต่ก็อาจเกิดเหตุอย่างน้ำท่วม ไฟไหม้หรือโจกรรมได้ จึงเหมาะกับประกันที่จ่ายเบี้ยน้อยกว่า  ข้อที่สาม สถานที่ที่คุณมักจะขับขี่ หากคุณเป็นนักบิดที่จะพาเจ้าบิ๊กไบค์ไปเผชิญกับการจราจรหนาแน่นที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุหรือความเสียหาย หรือคุณเป็นนักบิดที่ชอบพาคันโปรดไปท่องเที่ยวต่างจังหวัดที่ขรุขระ ก็แนะนำให้ใช้ประกันรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ชั้น 1 ที่ช่วยครอบคลุมให้คุณลุยได้อย่างไร้กังวล  มาดูแลเจ้ารถคันสวยให้อยู่กับเราอย่างปลอดภัยกันนานๆ นะคะ 

บุหรี่ไฟฟ้าหอมหวาน

0 Comments
บุหรีไฟฟ้า siampods

หรี่ไฟฟ้า คือ ความหวังของกลุ่มธุรกิจยาสูบที่พยายามมองหาวิธีการใหม่ๆ ที่จะช่วยดึงดูดใจลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ เข้าสู่วังวนการเสพติดสารนิโคติน ทั้งการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ทำให้วัยรุ่นติดบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการใช้เทคนิคการตลาดที่หวังเปลี่ยนทัศนคติคนรุ่นใหม่ให้มอง “ บุหรี่ไฟฟ้าเป็นพระเอกขี่ม้าขาวช่วยคนติดบุหรี่ให้มีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้น ”  แต่เดิมบุหรี่ไฟฟ้าถูกคิดมาเพื่อคนที่ช่วยคนที่ติดสารนิโคตินและต้องการเลิกบุหรี่ เมื่อบุหรี่กำลังถูกสกัดโอกาสการขายมากขึ้น บริษัทผู้ผลิตขายบุหรี่ไฟฟ้าจึงเห็นช่องว่างและโอกาส จึงไปดัดแปลงวัตถุประสงค์การใช้ มีการใส่สารต่างๆเข้มข้นขึ้น เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ ทำให้ปัจจุบันผู้ผลิตที่ขายบุหรี่ไฟฟ้าจึงมีความพยายามที่จะหันมาสร้างภาพลักษณ์ให้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าบุหรี่ทั่วไป จึงทำให้ความได้เปรียบในเรื่องของการขายบุหรี่ไฟฟ้าที่มีมากกว่าบุหรี่ทั่วไป นั่นก็คือ รูปแบบผลิตภัณฑ์หน้าตาใหม่ ๆ ที่ช่วยล่อใจนักสูบ ไปพร้อมกับการสร้างมายาคติด้วยภาพลักษณ์เชิงบวกต่อสินค้า โดยยังพุ่งเป้าหมายการขายบุหรี่ไฟฟ้าที่ยังกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งเรียกได้ว่า นี่คือนักสูบหน้าใหม่ที่อาจไม่เท่าทันเกมการตลาด  ในบุหรี่ไฟฟ้าถูกอ้างในเรื่องปริมาณว่ามีนิโคตินน้อยกว่าบุหรี่ หรือมีสารนิโคตินเป็น 0 แท้จริงแล้ว ความเป็นจริงพบว่า ตัวเลข 0 ที่ว่า ไม่ได้เท่ากับศูนย์จริง แต่กลับมีนิโคตินเจือปนอยู่ ไม่ว่าจะปริมาณเท่าใดสารนิโคติในบุหรี่ก็จะบ่มเพาะ การเสพย์ติดให้กับระบบสมอง ซึ่งในธรรมชาติของสมองในวัยรุ่นจะมีศูนย์เสพย์ติดที่อยู่ในสมอง เป็นกระบวนการบ่มเพาะสมองที่ทำให้เกิดอาการติด ดังนั้นสารนิโคตินเมื่อเข้าสู่ถุงลมในปอดแล้วก็จะใช้เวลาไม่ถึง 10 วินาที ก็สามารถวิ่งเข้าสู่ศูนย์เสพติดในสมองดังกล่าวได้โดยง่าย จึงทำให้เราติด เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นการเสพสารนิโคตินช่องทางใด หรือปริมาณแค่ไหน ก็มีโอกาสติดได้หมดนั่นเอง  อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันมีงานวิจัยพิสูจน์แล้วว่าการสูบบุหรี่ทำให้ดูแก่ก่อนวัย ผิวเสื่อมโทรม คอลลาเจนน้อยลง ยังรวมไปถึง ปอด ระบบหลอดเลือด แถมยังทำให้เกิดโรคประจำตัว เพราะทุกครั้งที่สูบเข้าปอด สารนิโคตินในบุหรี่จะเข้ากระแสเลือดไปทำร้ายระบบต่างๆ ทำให้ร่างกายเสื่อมได้โดยง่าย